fbpx

FULFILLMENT บริการคลังสินค้าออนไลน์ "เก็บ แพ็ค ส่ง"

เจาะลึก “Future of Commerce” จาก MyCloud Press Conference 2020

การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจออนไลน์จากวิกฤติโควิด19 และ ทิศทางการขายในโลกอนาคต ”
Fulfillment
Logistics

เจาะลึก “Future of Commerce” จาก MyCloud Press Conference 2020

“การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจออนไลน์จากวิกฤติโควิด 19 และ ทิศทางการขายในโลกอนาคต ” 

          ช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ผ่านมามีหลาย ๆ ธุรกิจได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องปรับตัว หรือเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้มีธุรกิจที่สู้ไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ หรือต้องยกเลิกกิจการไปก็มี แต่ในทางกลับกันก็มีธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างธุรกิจ E-Commerce ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นเนื่องจาก Social Distancing ทำให้การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดดนั่นเอง 

          ซึ่ง MyCloudFulfillment ผู้ให้บริการคลังสินค้าออนไลน์แบบครบวงจร ตั้งแต่การ เก็บ แพ็ค ส่งสินค้า ไปจนถึงการเชื่อมต่อช่องทางการขายอัตโนมัติ ที่ช่วยอำนวยความสะดวก และจัดการงานหลังบ้านการขายให้ธุรกิจ E-Commerce สามารถเติบโตขึ้นอย่างยั่งยืนก็ได้เติบโตควบคู่ไปด้วยในช่วงวิกฤติ และมียอดออเดอร์พุ่งสูงถึง 100,000 ออเดอร์ต่อเดือน ได้จัดงานแถลงข่าวเนื่องในโอกาสที่ MyCloud ได้รับการระดมทุนรอบ Series A มูลค่า 2 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 8 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งเราก็ได้นำเอามุมมองของคุณเมฆ นิธิ สัจจทิพวรรณ Chief Executive Officer (CEO) ของเรา ที่เป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจออนไลน์เเบบเจาะลึกมากที่สุด และได้เห็นแนวโน้มอนาคตของการขาย (Future of Commerce) มาแชร์ให้กับผู้ขายออนไลน์ หรือคนทำธุรกิจทุกท่านในวันนี้นั่นเองค่ะ


แม้ว่าในปัจจุบันตลาดช็อปปิ้งออนไลน์โตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ไม่ใช่ทุกร้านออนไลน์ที่จะขายดีและอยู่รอด แต่ประเทศไทยมีโอกาสที่ E-Commerce จะเติบโตไปได้อีกไกล

          หากศึกษาข้อมูลการเติบโต และรายได้ธุรกิจ E-Commerce ทั่วโลกอ้างอิงจาก Digital Market Outlook ของ Statista จะเห็นได้ว่ามีอัตราการเติบโตขึ้นจากปี 2019 อยู่ที่ 25.6 % ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก โดยการเติบโตของตลาด E-Commerce ของเอเชียอยู่ที่ 29.1% จึงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าทำไมธุรกิจ E-Commerce ในทวีปจึงมีความโดดเด่นและน่าจับตามองที่สุด ที่นี้เจาะลึกมาที่ประเทศไทยของเรา ที่แม้ว่าจะไม่ใช่ประเทศที่มีอัตราผู้ใช้งาน และรายได้ออนไลน์สูงที่สุด ซึ่งอินโดนีเซียครองอันดับ 1 เนื่องจากมีประชากรมากกว่า และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่ใหญ่กว่า แต่สำหรับค่าใช้จ่ายออนไลน์ต่อหัว (Average revanue per user) ไทยเราเทียบเท่าอินโดนีเซีย และมีอัตราการเติบโตสูงกว่าด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ในประเทศไทยยังมีประชากรเพียงแค่ 60% เท่านั้นที่เข้าถึงการซื้อขายออนไลน์ หรือใช้งานอินเตอร์เน็ต นั่นหมายความว่า ประเทศไทยของเรามีอัตราการซื้อขาย สินค้าออนไลน์สูงมาก และในอนาคตยังมีโอกาสที่คนจะเข้าถึงการใช้งานได้มากขึ้น ดังนั้นโอการที่ E-Commerce ในไทยจะเติบโตไปได้อีกไกล

ช่องทางการขาย E-Commerce และสินค้าชนิดไหนที่มาแรงในช่วงวิกฤต หลังวิกฤตและในอนาคต

          สำหรับช่องทางการขาย E-Commerce Marketplace กินส่วนแบ่งการตลาดใหญ่ที่สุดถึง 43% เนื่องจากมีการทำการตลาด โปรโมท และโฆษณาอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดย Marketplace รายใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมได้แก่ Lazada, Shopee, JD Central, Wemall เป็นต้น รองลงมาเป็นเว็บไซต์ส่วนตัว 24% อย่าง JiB, Konvy, EVEANDBOY และ Tesco Lotus นอกจากนี้เป็น Social Media 25% ที่มีการทำ Social Commerce บน YouTube, Facebook, Instagram, Twitter เป็นต้น และอีก 8% เป็นช่องทางใหม่ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาอย่าง Live Streaming หรือ TikTok ซึ่งช่องทางที่เกิดขึ้นใหม่หรือเก่าล้วนแล้วแต่มีความโดดเด่น และความจำเป็นต่อธุรกิจ ดังนั้นธุรกิจไม่ควรพึ่งเพียงแค่ช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้น

          เนื่องจากเราบริการคลังสินค้าออนไลน์ให้กับธุรกิจทุกประเภท ดังนั้นจึงได้สัมผัสและรู้ข้อมูล แนวโน้มสถิติยอดขาย ของสินค้าแต่ละประเภทว่าสินค้าชนิดไหนที่มาแรงในช่วงวิกฤต หลังวิกฤตและคาดการณ์อนาคตดังนี้


          เทรนด์ที่น่าสนใจแรกอยู่ที่อาหาร เครื่องดื่ม และอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน (Food & Beverage & Home care) ซึ่งเติบโตเป็นอันดับหนึ่งในช่วง COVID-19 ช่วงหลัง COVID-19 เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ ๆ ที่มีอายุมากเริ่มคุ้นชินกับการซื้อของออนไลน์มากขึ้น และเล็งเห็นว่ามันก็ง่าย สะดวกและราคาก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด ดีกว่าต้องขับรถไปแบกของด้วยตนเอง ซึ่งในอนาคตก็มีแนวโน้มเติบโตในตลาดออนไลน์ต่อไปเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความแน่นอน ไม่ต้องทดลองใช้งาน และมีน้ำหนักมาก เมื่อซื้อออนไลน์ส่งถึงที่จึงสะดวกมากกว่า

          กลุ่มที่สองคือ สุขภาพและความงาม (Beauty & Personal Care)ในช่วง COVID-19 มียอดเพิ่มสูงขึ้น อาจเป็นเพราะคนหันมาสนใจในตัวเองมากขึ้นก็เป็นได้ จึงดูแลสุขภาพและความงามเพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่หลังจาก COVID-19 ยอดกลับลดลง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องได้รับคำแนะนำ หรือต้องมีการทดลองใช้ แต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มในอนาคตน่าจะเติบโตขึ้นได้ เนื่องจากมีช่องทางการขายที่เติบโตขึ้น มี Influencer มีการรีวิวสินค้าต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

          และกลุ่มสุดท้าย Fashion เครื่องแต่งกาย ที่ในช่วง COVID-19 ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะคนอยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหน แล้วหลังจาก COVID-19 ก็มียอดสูงขึ้นมาแต่ยังไม่มากเนื่องจากธุรกิจแฟชั่นจะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง ดังนั้นอนาคตในการท่องเที่ยวที่ไม่แน่นอนจึงส่งผลในการขายสินค้าแฟชั่นให้ท้าทายมากยิ่งขึ้น

E-Commerce ในประเทศไทยไม่ได้ใหญ่ที่สุด แต่อยู่ในจุดที่หอมหวาน น่าสนใจที่สุด (Thailand is in the sweet spot)

          กล่าวโดยสรุปก็คือ ตลาด E-Commerce ในเอเชียใหญ่มาก ๆ มีการเติบโตสูงที่สุด และยังเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังจ่ายของคนไทยมีมากเทียบเท่ากับอินโดนีเซียที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย เราจึงมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกมากหากคนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่ E-Commerce เจ้าใหญ่ ๆ มาลงทุนในไทยเยอะ ดังนั้นหากใครที่ยังไม่ได้เริ่มธุรกิจออนไลน์ นี่อาจเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce 

สนใจศึกษาและลงทะเบียนได้ที่ www.mycloudfulfillment.com
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร: 092-472-7742, 02-138-9920
อีเมล: hello@mycloudfulfillment.com
line: @mycloudgroup
MyCloudFulfillment ขายของง่ายไม่ต้องแตะสต๊อก
บริการคลังสินค้าออนไลน์ เก็บ แพ็ค ส่ง ครบวงจร

    ขอใบเสนอราคา

    ฟอร์มการติดต่อสอบถามและขอใบเสนอราคา